สมุนไพรที่ใช้รักษาแผลในกระเพาะอาหาร
การเกิดแผลในกระเพาะอาหารอาจเกิดจากความไม่สมดุลระหว่างปัจจัยที่มีผลทำลายและปัจจัยที่ป้องกันเยื่อบุกระเพาะอาหาร
ได้แก่ กรดและน้ำย่อยในกระเพาะอาหารเอง รวมทั้งการไหลย้อนกลับของน้ำดี
และพบว่าเชื้อ Helicobacter pylori ซึ่งพบบนเยื่อบุกระเพาะอาหารเป็นสาเหตุสำคัญอีกประการหนึ่งที่ทำให้กลไกการป้องกันตนเองจากการถูกทำลายโดยกรดของเยื่อบุทางเดินอาหารหย่อนสมรรถภาพลง
นอกจากนี้ปัจจัยแวดล้อมอื่นๆ เช่น
การสูบบุหรี่ การดื่มเหล้า หรือการใช้ยาบางชนิด เช่น ยากลุ่ม NSAIDs เป็นต้น และสภาวะของแต่ละบุคคลก็เป็นสาเหตุของการเกิดแผลในกระเพาะอาหารได้ด้วย
สำหรับปัจจัยการป้องกันการเกิดแผลในกระเพาะอาหารนั้นในภาวะปกติ
ซึ่งเป็นความสามารถของเยื่อบุทางเดินอาหารที่จะปกป้องตนเองจากการถูกย่อยโดยกรดและน้ำย่อย
มีอยู่หลายปัจจัยด้วยกันคือ เมือกเคลือบเยื่อบุทางเดินอาหาร การหลั่งไบคาร์บอเนต
การไหลเวียนของเลือดที่เยื่อบุ
อัตราเร็วในการสร้างเซลล์มาซ่อมแซมเยื่อบุที่ถูกทำลายไป และอัตราการผลิตสาร prostaglandin
ในร่างกาย รวมทั้ง gastric emptying time มีอิทธิพลต่อการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร
ถ้าผู้ป่วยมี gastric emptying time เร็วกว่าปกติอาจทำให้เกิดแผลในลำไส้เล็กส่วนต้นได้
แม้ว่าการหลั่งกรดจะอยู่ในอัตราปกติ ทั้งนี้เพราะลำไส้เล็กไม่สามารถ neutralize
กรดที่ลงมาจากกระเพาะอาหารได้ทัน แต่ถ้า gastric emptying
time ยาวขึ้น
จะทำให้กรดและน้ำดีไหลย้อนขึ้นไปในกระเพาะอาหารทำให้เกิดการทำลายเยื่อบุกระเพาะอาหารได้เช่นกัน
จุดมุ่งหมายในการรักษาแผลในกระเพาะอาหารก็คือ ลดความเจ็บปวด
รักษาแผลให้หาย และป้องกันการเกิดแผลใหม่
โดยมุ่งไปในการลบล้างฤทธิ์หรือยับยั้งการหลั่งกรดและน้ำย่อย
และเสริมสร้างความคงทนของเยื่อบุกระเพาะอาหาร ตลอดจนปรับเร่งให้ gastric
emptying time เร็วขึ้น ซึ่งในปัจจุบันยาที่ใช้รักษาแผลในกระเพาะอาหารจึงเป็นยาที่มุ่งออกฤทธิ์ในการตอบสนองต่อเป้าหมายการรักษาข้างต้น
ดังนี้คือ
1. ยาลดกรด
2. ยาที่มีฤทธิ์ยับยั้งการหลั่งกรด
3. ยาที่มีฤทธิ์ป้องกันเยื่อบุทางเดินอาหาร
4. ยาที่มีฤทธิ์ยับยั้งการหลั่งกรดและป้องกันเยื่อบุทางเดินอาหาร
5. ยาที่มีฤทธิ์เปลี่ยนแปลง gastric
emptying time (1)
การดูแลสุขภาพสำหรับผู้ป่วยโรคกระเพาะอาหาร
1. พยายามกินอาหารให้ตรงเวลา
แม้จะไม่หิวก็ตาม ถ้าเลยเวลากินอาหารแต่ยังไม่สามารถกินอาหาร
ควรดื่มนมหรืออาหารเบาๆ รองท้องหรือกินยาเคลือบกระเพาะอาหารไว้ก่อน
2. ถ้ามีอาการคลื่นไส้อาเจียนร่วมด้วยควรรักษาอาการคลื่นไส้อาเจียนก่อน
นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงอาหารรสจัด อาหารแข็งและอาหารย่อยยาก
1. จุฑามณี จารุจินดา จงจิตร อังคทะวานิช ลิ้นจี่ หวังวีระ และคณะ,
บรรณาธิการ. ความก้าวหน้าของยาที่ใช้ในระบบทางเดินอาหาร. กรุงเทพฯ:คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล, 2532: 271 หน้า.
2. http://www.aidsaccess.com. Available access 14/01/2003.